หลายคน…คงจะพอมีประสบการณ์ในการไปนั่งดูดวง หรือขอคำปรึกษาชี้แนะกับหมอดูกันมาแล้ว เมื่อมีหมอดูมาทักว่า “ดวงคุณเป็นกาลกิณี” มันจะน่ากลัวอย่างนั้นจริงรึ หรือ ความจริงคืออะไร ? บางคนเกิดอาการจิตตก จากนั้นหมอดูก็จะทักขึ้นมาอีกว่า ดวงกาลกิณีต้องแก้นั้นแก้นี่ ต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเบอร์โทรสารพัดจะจัดหา เรื่องอย่างนี้มักมีให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ หลายคนก็ตั้งคำถามว่า “มันจริงหรือ?” ดังนั้นจึงอยากจะไขข้อข้องใจให้เกิดความกระจ่าง เกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของคำว่า “กาลกิณี” ให้เข้าใจตรงกัน
“กาลกิณี” เป็นคำเฉพาะ เป็นศัพท์เทคนิคที่มีอยู่ในวิชา “มหาทักษา” ไม่ได้มีความหมายไปในทางเลวร้าย แบบที่หลายๆ คนเข้าใจกันแต่อย่างไร โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่ากาลกิณีนี้ หากจะแปลให้ตรงและชัดเจน ก็ต้องแปลว่า “สิ่งที่พึงระวัง” ดังเช่นในเรื่อง “องคุลีมาล” เด็กน้อยผู้หนึ่งที่ได้เกิดมาภายใต้ดวงชะตาอันเป็น “กาลกิณี” โดยพราหมณ์ผู้หนึ่งได้ทำนายไว้ว่า “เด็กน้อยผู้นี้….หากเลี้ยงดีก็จะได้เป็นผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดิน แต่หากเลี้ยงดูไม่ดีก็จะเป็นมหาโจร” ดังนี้แล้วผู้เป็นบิดาจึงได้ให้นามแกเด็กน้อยผู้นี้ว่า “อหิงสักกะ” แปลว่า ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในการไม่ใช้กำลัง
แต่แล้ว อหิงสักกะ กลับถูกครูของตนเองริษยา กลัวว่าอหิงสักกะ จะได้ดีกว่าลูกของตนเอง จึงหลอกให้ไปเป็นโจรตัดนิ้วคนมาทำเป็นพวงมาลัยบูชาเทพพระเจ้า ถึงแม้นอหิงสักกะจะหลงผิดไปเป็นโจรป่าชื่อ “องคุลีมาล” โดยการดำเนินชีวิตผิดพลาดไป หลงไปในสิ่งที่ต้องพึงระวัง แต่สุดท้ายแล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากได้พบ พระพุทธเจ้า และต่อมาจึงได้มีพระคาถาที่ชื่อ “อังคุลิมาลสูตร” เป็นคาถาที่ทำให้หญิงตั้งครรภ์คลอดบุตรง่าย ดังนี้แล้ว เราจึงเห็นได้ว่าความหมายของ “กาลกิณี” นั้นมิได้เลวร้าย แต่เป็นเพียงเรื่องที่ต้องพึงระวังในสิ่งที่เป็นข้อห้าม หากเราหลีกเลี่ยงในข้อห้ามดังกล่าวได้ ชีวิตก็จะประสบแต่สิ่งดีงาม และคำว่า “กาลกิณี” นี้ ยังให้ความหมายไปในทางที่คนเราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท อาทิเช่น อาการของคนที่มีความระแวดระวัง เมื่อต้องมีการข้ามถนน ก็จะมองซ้ายมองขวา และเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว จึงเดินข้ามอย่างมีสติ ไม่ตั้งอยู่บนความประมาทหรือเหม่อลอยจนขาดสติ ดังนี้เป็นต้น
จากบทความข้างต้นที่ได้กล่าวมา เราก็จะพอทำความเข้าใจในความหมายของคำว่า “กาลกิณี” ได้พอสังเขป จากหลักคำสอนในวิชา “มหาทักษา” นั้น ได้แฝงข้อคิดให้เราสามารถดำเนินชีวิตโดยไม่ตั้งอยู่บนความประมาทได้เป็นได้อย่างดี โดยการจำแนกบุคคลออกเป็น 8 ลักษณะ ตามวันเกิด ซึ่งเราทั้งหลายก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กันได้ทุกคน กล่าวคือ หลักการที่วางเอาไว้นั้น เราจะสังเกตุได้ว่า ใครมีจุดอ่อนตรงไหนก็ให้พึงระวังตรงจุดนั้น และหากหลีกเลี่ยงได้ หรือแก้ไขปรับปรุงได้แล้ว ชีวิตก็จะพบกับความสุขความเจริญด้วยกันทุกคน หลักการที่ว่าได้กล่าวไว้ดังนี้
ผู้ที่เกิด วันอาทิตย์ จะได้ พระศุกร์ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันอาทิตย์นั้น หากเป็นชายก็จะมีนิสัยเจ้าชู้ หน้าใหญ่ ใจร้อน ชอบเดินทาง ไม่ชอบความจำเจไม่ชอบหยุดอยู่กับที่เป็นเวลานาน หากเกิดเป็นหญิงก็จะเป็นคนมีเสน่ห์ แต่งตัวเก่ง ใฃ้เงินเก่ง ด้วยเหตุนี้จึงมักเกิดปัญหาในครอบครัวขึ้นได้ง่าย
พระศุกร์ หมายถึง ความรัก เงินทอง ความอยากได้ใคร่มี ฯลฯ และเมื่อได้พระศุกร์เป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ให้ระมัดระวังในเรื่องความเจ้าชู้ เสน่ห์ที่มีต่อเพศตรงข้าม จะนำปัญหามาสู่ และการใช้จ่ายอย่างมือเติบ จนไปถึงเรื่องบริวารเบียดเบียน เมื่อเริ่มสูงวัยก็มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน
ผู้ที่เกิด วันจันทร์ จะได้ พระอาทิตย์ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันจันทร์นั้น หากเป็นชายก็จะเป็นคนใจอ่อน จิตใจโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด อ่อนไหวไปกับสถานการณ์ได้ง่าย หากเกิดเป็นหญิงก็จะเป็นผู้ที่มีมารยาทงาม มีความอ่อนหวาน จิตใจอ่อนไหว ใจอ่อน แต่มักเกิดความแปรปวนทางด้านอารมณ์ได้ง่าย
พระอาทิตย์ หมายถึง การตัดสินใจ ชื่อเสียง หน้าที่การงาน และเมื่อได้พระอาทิตย์เป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ให้ระมัดระวังในเรื่องการตัดสินใจ หรือการใช้อารมณ์ในการตัดสิน และเมื่อครั้งใดที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี มีอำนาจ ก็ต้องระมัดระวังจะมีผู้ไม่หวังดี ส่วนผู้ที่เป็นหญิงก็อย่าวางใจคนใกล้ตัว จะเข้ามาเกาะแกะกับคู่ครองของตน
ผู้ที่เกิดวันอังคาร จะได้ พระจันทร์ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันอังคาร หากเกิดเป็นชายจะเป็นคนขยัน จิตใจกล้าหาญ มีความมุ่งมั่นเด็ดเดียว มีโมหะจริตสูง แต่เสียตรงมักใจอ่อนกับสตรี หากเกิดเป็นหญิงก็จะมีน้ำใจดี รักพวกพ้อง พูดจาตรงไปตรงมา แต่มักเสียที่เป็นคนหูเบา
พระจันทร์ หมายถึง ความอ่อนไหว มโนจริต ความรักความอบอุ่น และรวมไปถึงความริษยา และเมื่อได้พระจันทร์เป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ให้ระมัดระวังในเรื่องที่ตนเองมักจะใจอ่อนอาจละเลยหน้าที่จนต้องเสียงาน อีกทั้งต้องระมัดระวังอย่าฟังความข้างเดียว อาจเกิดความลังเลสงสัย ทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนเกิดความเสียหายขึ้นได้
ผู้ที่เกิดพุธกลางวัน จะได้ พระอังคาร เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันวันพุธตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึงเวลา 6 โมงเย็น หากเกิดเป็นชายจะเป็นคนขยันทำมาหากิน ไม่หยุดนิ่ง ชอบติดต่อการค้า ใช้สติปัญญาในการวางแผน ชอบเรียนรู้และชอบแนะนำผู้อื่น รักในการเจรจาต่อรอง เป็นมิตรกับคนทุกฝ่าย ไม่ชอบมีศัตรู ไม่ชอบความรุนแรง แต่ในบางครั้งก็ชอบเหม่อลอย หากเกิดเป็นหญิงจะเป็นผู้มีวาทศิลป์ดี มีความเฉลียวฉลาด ความจำดี มีเสน่ห์ จึงมีผู้ชายรุมล้อมให้ความสนใจมาก
พระอังคาร คือความกล้าหาญ ความรุนแรง การเอาชนะด้วยพละกำลัง และเมื่อได้พระอังคารเป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ต้องระมัดระวังความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ในขณะที่ตนเองเป็นคนกลาง ต้องระมัดระวังในการใช้เครื่องมือ อาวุธ หรือของมีคม และปัญหารักสามเส้าที่จะเกิดขึ้นในวัยแรกรุ่นหนุ่มสาว มักมีโรคประจำตัว หรือเป็นโรคที่ติดต่อทางพันธุกรรมจากพ่อแม่
ผู้ที่เกิดพุธกลางคืน จะได้ พระพฤหัสฯ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันพุธตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นจนถึงรุ่งเช้าของวันพฤหัสฯ หากเกิดเป็นชายจะเป็นคนใจปล้ำใจนักเลง รักพวกพ้อง ใครพูดถูกใจก็ทุ่มให้หมดตัวเลย มักคบหากับผู้มีอิทธิพล รักอิสระ ไม่ชอบกฎระเบียบ ชอบทำผิดกติกา แต่เสียตรงที่เป็นคนหูเบา ตายน้ำตื้น หากเกิดเป็นหญิงจะมีปัญหาเรื่องความรัก ไม่ลงตัวง่ายๆ อยู่ที่ไหนทำงานที่ไหนก็มักจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หมายตามอง จะถูกโฉลกกับคนต่างชาติต่างภาษา หรือต่างศาสนา
พระพฤหัสบดี หมายถึง ข้อบังคับกฎระเบียบ จริยธรรม ฯลฯ และเมื่อได้พระพฤหัสบดีเป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ผู้ใหญ่มักจะคอยเพ่งเล็งจับผิด เพราะความที่ชอบเป็นหัวโจก ในกรณีที่ประกอบธุรกิจก็มักมีการตรวจสอบภาษี รับราชการก็มักถูกกล่าวหา จนถึงมีการสอบสวนได้ และเมื่อจะมีความรัก ผู้หลักผู้ใหญ่ก็มักจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้ จนต้องหนักใจ บางรายถึงกับขั้นแต่งงานช้าไปเลย
ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี จะได้ พระเสาร์ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันพฤหัสบดี หากเกิดเป็นชายจะเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ เก็บรายละเอียดในเรื่องเล็กๆน้อยๆ จนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนจู้จี้จุกจิกไปเลยก็มี มักเป็นคนเลือกคบหาคน ไม่ชอบคบหากับคนที่ต่ำศักดิ์กว่า มักเป็นคนชอบวางแผนจัดการเรื่องนโยบาย แต่ถึงคราวต้องปฎิบัติก็มักจะใช้ให้ผู้อื่นลงมือทำ หากเกิดเป็นหญิงจะมีบุคลิกที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ไว้ใจคนมากเกินไป จนบางครั้งดูเหมือนคนมองโลกสวย มักจะได้รับความรักใคร่จากผู้หลักผู้ใหญ่มาก จนบางครั้งถึงกับหวงไม่ยอมให้ไปไหนห่าง
พระเสาร์ หมายถึง ผู้ใช้แรงงาน คนหมู่มาก ความวิตกกังวล ความเครียด ฯลฯ และเมื่อได้พระเสาร์เป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ต้องระมัดระวังโทษภัยจาก บริวารดื้อรั้น มีความวิตกกังวลในเรื่องที่ยังไม่เกิด จนเกิดความเครียด ความเกรงใจในเรื่องที่ไม่ควร จนทำให้เกิดความทุกข์ใจภายหลัง รวมไปถึงเรื่องเจ็บไข้จากการทำงานหนักด้วย
ผู้ที่เกิดวันศุกร์ จะได้ พระราหู เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันศุกร์จะเป็นคนรักสวยรักงาม มีจิตใจที่รักในงานศิลป ชอบการกินการเที่ยว จิตใจอ่อนไหว รักหลงเกียดชังได้ง่าย อารมณ์คล้อยไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบได้ง่าย หากเกิดเป็นชายก็มักจะเป็นคนใจดี พูดคุยสนุก ขยันหาทรัพย์ แต่ก็มักไม่ค่อยระวังตัว หากเกิดเป็นหญิงก็จะใช้จ่ายเก่ง ใจน้อย ชอบเอาอกเอาใจผู้อื่นแต่ในขณะเดียวกันก็ชอบให้คนอื่นมาเอาอกเอาใจตนเองด้วย
พระราหู หมายถึง ความลุมหลงมัวเมา การใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ฯลฯ และเมื่อได้พระราหูเป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ต้องระมัดระวังในการที่เมื่อเข้าไปคลุกคลีกับเรื่องที่ตนพึงพอใจ ก็มักจะหลงไหลในสิ่งนั้นมากจนเกินไป มีความรักแรงเกลียดแรง ชีวิตมักผิดพลาดไปได้โดยง่ายเพราะความเอาแต่ใจ
ผู้ที่เกิดวันเสาร์ จะได้ พระพุธ เป็นกาลกิณี
โดยทั่วไปผู้ที่เกิดในวันเสาร์ มักจะเป็นผู้ที่เชื่อในเรื่องของการลงมือปฏิบัติจริง มากกว่าเชื่อในทางทฤษฐี เชื่อในลางสังหรณ์ของตนเอง หากเกิดเป็นชาย จะเป็นคนที่จริงจังในเรื่องที่ตนสนใจ มีอุปนิสัยในลักษณะบุญคุณต้องทดแทนแค้นต้องชำระ ไม่สนิทสนมกับใครได้ง่าย มีความมุมานะ มีความอดทนในการรอคอย หากเกิดเป็นหญิง จะสามารถเก็บอารมณ์ได้ดี ชอบทำงานในที่เงียบ มีโลกส่วนตัวสูง ดื้อรันมักไม่ค่อยฟังใคร ชีวิตมักประสบกับการพลัดพรากอยู่หลายครั้งหลายครา
พระพุธ หมายถึง การเจรจา ติดต่อสื่อสาร การเข้าสังคม ความรู้แจ้งเข้าใจในสิ่งต่างๆ ฯลฯ และเมื่อได้พระพุธเป็นกาลกิณี ก็จะหมายถึง ต้องระวังเรื่องคำพูดคำจา เพราะเป็นคนชอบพูดตรง บางรายถึงแม้นว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่พอพูดแล้วก็มักไม่ค่อยเข้าหูคน การเข้าสังคมก็มักมีความคิดที่เห็นต่าง ข้อควรระวังอีกอย่างก็คือ หากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ก็มักจะหลงไหลและจะเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น
“….ไม่ว่าคุณจะเกิดในวันใดก็ตาม หากได้อ่านบทความนี้แล้ว เราก็สามารถนำเนื้อหาสาระในหลักวิชามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการแก้ไขปรับปรุง หรือระมัดระวังในจุดอ่อนที่มีอยู่ในตัวเรา มิให้เป็นข้อบกพร่องในการดำเนินชีวิตกันนะครับ….”