ความรักสิ่งสวยงามที่เกิดขึ้นกับคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังกับความรัก เฉกเช่นกับ 5 โศกนาฏกรรมแห่งรักนี้ ที่วันนี้ GangBeauty จะพาทุกคนไปย้อนไปดู ตำนานรักชั่วนิจนิรันดร์ ความตายมิอาจพราก ซึ่งตราตรึงใจคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนจะมีเรื่องราวอย่างไรนั้น ตามมาดูพร้อมกันเลยจ้า!
1. ตำนานรักขวัญ-เรียม แห่งทุ่งบางกะปิ
“เรียมเหลือทนแล้วนั่นขวัญของเรียม” หลายคนคงคุ้นหูกับเพลงนี้จากเรื่องแผลเก่าซึ่งเป็นตำนานรักของขวัญและเรียมที่เกิดขึ้น ณ ทุ่งบางกะปิ เพราะความบาดหมางของสองครอบครัวจึงเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ค่ะ
ขวัญกับเรียมได้สาบานกับเจ้าพ่อไทรว่าจะรักและซื่อสัตย์กัน ต่อมาไม่นานเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจากกันเมื่อเรียมถูกนำไปขายให้คุณนายทองคำ เรียมได้รับความรักและเลี้ยงดูเอย่างสุขสบายเพราะมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับลูกสาวที่เสียชีวิตไปแล้วคุณนายทองคำจึงเอ็นดูเธอมากเป็นพิเศษ และยังต้องการให้เรียมแต่งงานกับสมชาย อดีตคู่หมั้นของลูกสาว ตัวสมชายเองก็พึงพอใจในตัวเรียมอยู่บ้าง
เมื่อแม่ของเรียมป่วยหนัก เรียมจึงกลับมาดูแล และได้สานสัมพันธ์กับขวัญอีกครั้ง ด้านสมชายเมื่อรู้เรื่องที่เรียมกลับไปหาขวัญก็พร่ำบอกรักเรียม ตัวเรียมเองก็ดูเหมือนจะใจอ่อนเพราะอีกใจก็ยังเสียดายชีวิตสุขสบายตอนอยู่บางกอก เมื่อขวัญเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกันจึงโมโหมาก เกิดการต่อสู้กันอย่างชุลมุน สมชายใช้ปืนที่พกติดตัวมายิงขวัญตาย เมื่อเรียมเห็นดังนั้นจึงใช้มีดปาดคอตายตาม
2. ตำนานรักสะพานสารสิน
เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักสะพานสารสิน สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ของจังหวัดภูเก็ต สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์แห่งความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวที่มีฐานะต่างกันและเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่จบชีวิตลงพร้อมกัน
โกดำ แซ่ตัน ชายหนุ่มขับรถท้องโป (รถสองแถว) พบรักกับ กิ๋ว-กาญจนา แซ่หงอ นักศึกษาวิทยาลัยครู ที่มีฐานะในสังคมและมีครอบครัวที่ร่ำรวย ต่างกับโกดำที่ใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ทั้งคู่ใช้ความพยายามและทำทุกวิถีทางที่จะทำให้พ่อของกิ๋วยอมรับในตัวโกดำแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรพ่อของกิ๋วก็ไม่เปิดใจ ทำให้ทั้งคู่ต้องแอบลักลอบมาเจอกันเมื่อพ่อรู้เข้าจึงขังกิ๋วไว้ในบ้านและพยายามยัดเยียดกิ๋วให้แต่งงานกับเศรษฐี เมื่อความรักของทั้งคู่ไม่อาจสมหวังและไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ โกดำและกิ๋วจึงเลือกทางออกสุดท้ายของชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายที่สะพานสารสิน โดยทั้งคู่นำผ้าขาวม้ามาผูกขาติดกันและตัดสินใจกระโดดจากสะพานลงสู่พื้นน้ำ คล้ายกับว่าผ้าขาวม้าผืนนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ผูกทั้งสองไว้ด้วยกันและไม่แยกจากกันชั่วนิรันดร์
3. ตำนานรักของนางนาคแห่งทุ่งพระโขนง
ตำนานรักที่เป็นที่เลื่องลือของคนทุกยุคทุกสมัย เรื่องราวของนางนาคและนายมาก สามีและภรรยาที่อาศัยอยู่ทุ่งพระโขนง ทั้งคู่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนนางนากตั้งครรภ์อ่อนๆ ไม่นานนักนายมากถูกหมายเรียกให้ไปเป็นทหารประจำการ ทำให้นางนากต้องอยู่เพียงลำพัง จนเมื่อถึงกำหนดคลอดเด็กไม่กลับหัว ทำให้นางนาคสิ้นใจทันทีเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว กลายเป็นผีตายทั้งกลม ด้วยความรักที่มีให้นายมาก นางนาคจึงไม่ยอมไปไหนกลายเป็นผีรอนายมากกลับมา
นายมากเมื่อปลดประจำการ และเดินทางกลับมาบ้านยังไม่รู้ว่าเมียสุดที่รักได้ตายจากไป ชาวบ้านแถวนั้นต่างพยายามบอกให้นายมากรู้ว่านางนาคตายไปแล้วแต่พูดอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน และเผลอทำมะนาวตกใต้ถุนนางจึงเอื้อมมือยาวลงไปเก็บ นายมากที่เดินผ่านมาขณะนั้นเห็นเข้า จึงเชื่อทันทีว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านพูด เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาได้หนีไปซ่อนในวัด ทำให้นางนาคโกรธชาวบ้านมากเพราะคิดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้นายมากหนีจากตนไป จึงอาละวาดและไล่ทำร้ายชาวบ้าน เป็นเหตุให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เข้ามาช่วยและสะกดวิญญาณนางนาคโดยการกะเทาะกระดูกตรงหน้าผากนำไปทำปั้นเหน่ง ติดตัวองค์สมเด็จและตกทอดไปยังอีกหลายมือ
4. ตำนานรักเขาสามมุก-บางแสน
มุกเป็นสาวชาวบ้านที่มีฐานะค่อนข้างยากจนส่วนแสนเป็นลูกชายกำนันที่มีฐานะร่ำรวย จุดเริ่มต้นของทั้งคู่เกิดจาก เมื่อมุกเก็บว่าวของแสนที่ทำหลุดมาและแสนได้ให้ว่าวนั้นเป็นของที่ระลึก จากนั้นทั้งคู่จึงทำความรู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น จนกลายเป็นความรักที่ลึกซึ้ง แต่ทางบ้านแสนเห็นว่ามุกไม่เหมาะสมเพราะมีฐานะยากจน จึงบังคับให้แสนแต่งงานกับหญิงที่ทางบ้านเลือกไว้แล้ว เมื่อมุกรู้เรื่องเกิดความเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากจึงไปกระโดดเขาฆ่าตัวตาย ส่วนแสนเมื่อทราบเรื่องจึงกระโดดหน้าผาตายตามไป
เรื่องราวความรักของทั้งคู่ถูกนำไปตั้งเป็นชื่อสถานที่โดยเขาที่มุกกระโดดเรียกว่า “เขาสามมุก” ส่วนหาดที่แสนกระโดดหน้าผาตายเรียกว่า “หาดบางแสน” และยังมีศาลเจ้าแม่สามมุขเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักของทั้งคู่ค่ะ
5. ตำนานรักต่างเชื้อชาติ ต่างชนชั้น ของเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ
เรื่องราวความรักของทั้งคู่เริ่มต้นเมื่อเจ้าน้อยศุขเกษมถูกส่งไปเรียนต่อที่เมืองพม่าและได้พบกับมะเมียะเมื่อทั้งคู่ได้พบกันต่างคนต่างตกหลุมรักและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งสองได้สาบานต่อกัน ณ ลานหน้าพระธาตุใจ้ตะหลั่นว่าจะรักและไม่ทอดทิ้งกันตลอดไป หากใครทรยศขอให้ผู้นั้นอายุสั้น เมื่อถึงคราวที่เจ้าน้อยศุขเกษมต้องเดินทางกลับเชียงใหม่จึงแอบพามะเมียะกลับมาด้วย โดยให้มะเมียะปลอมตัวเป็นเพื่อนชายแต่เมื่อเดินทางมาถึงจึงทราบว่าตัวเองนั้นถูกหมายหมั้นไว้กับหญิงอื่นแล้ว และตัวมะเมียะเองก็ไม่ได้รับการยอมรับจึงถูกส่งตัวกลับพม่าทันที
เจ้าน้อยศุขเกษมได้ให้สัญญาว่าจะกลับไปหามะเมียะให้ได้ หลังจากที่นางเดินทางกลับ ก็ได้แต่เฝ้ารอ หวังว่าเจ้าน้อยฯ คงจะกลับมาหา แต่เมื่อทราบข่าวว่าเจ้าน้อยฯ แต่งงาน จึงตัดสินใจบวชเป็นแม่ชีทันที แม่ชีมะเมียะเดินทางถึงเชียงใหม่และขอพบกับเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เจ้าน้อยฯ ที่ใจแข็งแต่ยังมีความสงสารอยู่จึงไม่ยอมลงไปพบแต่ได้มอบเงิน 1 กำปั่น (800บาท) และแหวนทับทิมประจำกายให้กับแม่ชีมะเมียะ หลังจากเหตุการณ์นี้เจ้าน้อยศุขเกษมจึงเอาแต่กินเหล้าและตรอมใจตายในที่สุด ส่วนแม่ชีมะเมียะก็ไม่ศึกเลยและถึงแก่กรรมในวัย 75 ปี
อย่างกับคำกล่าวที่ว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ทั้งนี้ จะโทษความรักฝ่ายเดียวเห็นจะไม่ได้ บางครั้งโชคชะตา พรหมลิขิต ก็กำหนดสิ่งเหล่านี้ให้เราได้มาเจอกัน…