พระอาจารย์บุญช่วยเมตตาให้พระคาถาเชิญญาณบารมีหลวงปู่สรวง และอนุญาตให้เผยแพร่ได้ คาถานี้ท่านเล่าว่าต้องขึ้นไปบนเขากุเลนจากนั้นอาจารย์จันตึ๊บจึงบอกคาถาให้ เนื้อความคาถามีดังนี้
๑ ท่องนะโม ๓ จบ
๒ อิลิเมี๊ยะอ็องสรวงสัมปันโน อิติปิโส นะโมพุทเธียเยีย อิสวาสุติมหาบันดาลสัจจัง อิริกิเป
๓ ให้หมั่นภาวนา คาถา “อะกรึงกะ” คำนี้กันภัยได้ ท่องประจำให้เกิดญาณหยั่งรู้ว่าภัยจะมาเมื่อไหร่ หลงหลีกป้องกันได้ทุกประการ
๔ ท่องภาวนาคำว่า “บายตึ๊กเจีย” ทำให้ร่มเย็นเป็นสุข มีเงินมีทองไม่ขาด
หลวงพ่อบุญช่วยท่านเล่าว่า ทั้ง ๔ ท่านคือ หลวงปู่สรวงหรือลูกตาเบ๊าะ หลวงปู่สะเดิงหรือดาบสจันตึบ หลวงปู่รชรัตน์ หลวงปู่พระองค์พลึง เป็นผู้สำเร็จธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นผู้เหนือโลก แต่บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ โปรดผู้หวังดีต่อพระศาสนา
ท่านจะอยู่จะตา ยสุดแท้แต่ท่านและทุกท่านสำเร็จวิชาตา ยคืน คือตา ยแล้วทิ้งร่างก็ได้ประกอบร่างใหม่เอา หรือเอาดวงจิตไปไว้ที่ร่างไหนๆก็ตามสะดวก ศาสตร์นี้คือสุดยอดของวิญญ าณศาสตร์ที่แต่โบราณผู้สำเร็จมีน้อย ดังนั้นการท่องคาถา
การปลุกเสกทุกอย่าง หลวงพ่อบุญช่วยท่านจะเชิญท่านผู้สำเร็จทั้ง ๔ มาอธิษฐานจิตปลุกเสกหรือทำพิธีต่างๆให้ ของที่ทำมาจึงขลังพิสูจน์ได้จริง ใช้ได้ผลจริง ขอเพียงแค่มีศรัทธาเท่านั้น
มีพระคณาจารย์บางท่านที่เที่ยวศึกษาจากพระธุดงค์แถบชายแดนเขมรเล่าว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงรุ่นเก่าๆที่สำเร็จวิชาอายุวัฒนะนี้ก็มีอายุหลายร้อยปีเช่นเดียวกับท่าน ท่านเหล่านี้จะอยู่ตามตะเข็บชายแดนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร บางท่าน
เคยมร ณภาพไปแล้ว ฌาปนกิจศ พไปแล้ว มีกระดู กวางไว้บูชาในโกฐแล้วด้วยซ้ำ แต่พอไม่นานก็ออกมาจากป่ามาโปรดคนอีก พระท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่สรวงท่านหนึ่งบอกว่าต้องเผาหรือต้องตา ยครบ ๘ ครั้งจึงตายจริงครั้งหนึ่งจะมีอายุได้ประมาณ 300 ปี บางท่านตา ยมาแล้วครั้งหนึ่ง
บางท่านเคยตายมาแล้วสามครั้ง และมีการยืนยันว่าสำหรับหลวงปู่สรวงท่านแล้วยังไม่มีใครเคยเห็นท่านมร ณภาพลงเลยครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรก
วิชาเหล่านี้จะไม่เรียกว่าตา ยจริงแต่จะเป็นเสมือนการลอกคราบของงูหรือจักจั่น ซึ่งทิ้งสังขารเก่าไว้เหมือนซ าก แต่กลับมีร่างใหม่กายใหม่ขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
เรื่องของท่านฟังแล้วเข้าใจยาก แต่ง่ายที่สุดที่เข้าใจได้คือท่านไม่ได้อยู่อย่างเราไม่ได้อยู่ด้วยเงื่อนไขอย่างที่เราๆท่านๆอยู่ ท่านคือสิ่งที่เหนือความเข้าใจของปุถุชนไปแล้ว วันเวลาที่ท่านอยู่หรือท่านไปไม่มีความจริงสำหรับเราและท่าน ด้วย
ว่าท่านอยู่เหนือสมมุตินั่นเอง ดังนั้นการที่ท่านจะมีกี่กาย มีอายุยืนนานเท่าใดจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ สุดวิสัยแห่งการหยั่งรู้ของเราผู้เป็นปุถุชน เราทราบแต่ว่าตลอดเวลาที่ท่านอยู่นั้นท่านไม่สะสม ท่านไม่มีวัดอยู่ มีอะไรท่านก็แจก
หมด หรือไม่ก็เผาทำลา ยทิ้งซะ เป็นแบบอย่างพระผู้ละโลกโดยแท้ และถือว่าเป็นตำนานแห่งโลกอุดรที่ปรากฏเป็นรูปธรรมในปัจจุบัน
ผลบุญจะส่ง ให้พานพบคนดีๆ แต่ผลกรรม จะทำให้ต้องเจอคนร้ายๆ
มื่อบุญให้ผล..เราจะพบคนดี คนจริงใจ คนที่มีความมั่นคง
เข้ามาทำให้มีความสุขมากขึ้นในชีวิต
เมื่อกรรมให้ผล เราจะพบคนไม่ดี ไม่จริงจัง ไม่จริงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ชัดเจน ไม่มั่นคง ฯลฯ
เข้ามาทำให้มีความทุกข์มากขึ้นในชีวิต
ถ้านิสัยของเราดีขึ้น ในวันที่พบคนดีจึงเรียกว่า พบคนดีในเวลาที่เหมาะ
เหมาะในที่นี้ คือมีความพร้อมที่จะรักษาความรัก
ถ้านิสัยของเรายังไม่ดีขึ้น ในวันที่พบคนดี แบบนี้แนวโน้มคือ
นิสัยเสียๆ ของเราจะเป็นตัวที่ทำให้คนดีๆ ออกไปจากชีวิตเราได้
ตราบใดที่ไม่คิดแก้ไขนิสัยร้ายๆ ของตัวเองให้ดีขึ้น
แนวโน้มคือชีวิตเราก็จะดึงดูดคนที่แย่ๆ
ดึงดูดคนแบบเดิมที่ห่วยๆเข้ามาเหมือนเดิม
ถ้านิสัยของเราดีขึ้น ในขณะที่ยังต้องอยู่กับคนไม่ดี ความดีหรือกรรมดีของเราตรงนี้
ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันได้ว่าจะสามารถเปลี่ยนใครให้ดีขึ้นได้ แต่ความดีนั้น
จะทำหน้าที่ดึงดูดคนดีๆ เข้ามาในวันหน้าแทนและมักจะเป็นในเวลาที่เหมาะด้วย
การเจอคนดี แต่รักษาคนดีไม่เป็นส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้จักการต่อบุญใหม่ร่วมกัน
แต่ส่วนใหญ่ ก็เป็นเพราะหวงนิสัยเสียๆ ของตนมากกว่าคนดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตนั่นแหละ
การเจอคนร้ายๆ แต่ยังยอมทนทุกข์อยู่ตรงนี้คือการใช้กรรม ในรูปแบบหนึ่ง
เมื่อไหร่ที่ทุกข์พอแล้ว ทนพอแล้วไม่อยากเห็นตัวเองทนทุกข์ซํ้าซากต่อไป
คิดเดินออกมาได้เมื่อไหร่ จึงเรียกว่าหมดกรรมเมื่อนั้น?
ถ้าเราเป็นคนดี เวลาจะดึงดูสิ่งดีๆ เข้ามาหาเรา
แต่ถ้าเราเป็นคนไม่ดี เวลาจะพัดพาสิ่งดีๆ ออกไปจากชีวิตเรา?เช่นนั้นเอง