พระสุนทรีวาณี คือ เทวีแห่งปรีชาญาณและความรู้แจ้ง ผู้ทรงอานุภาพบันดาลความเป็นเลิศทางปัญญาและการเข้าถึงพระธรรม
พระสุนทรีวาณีปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทำให้พระสุนทรีวาณีไม่เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป และ คนส่วนใหญ่ที่รู้จักเทวีองค์นี้จะมีแต่พุทธศาสนิกชนที่ได้ไปปฏิบัติธรรมภายในวัดสุทัศนเทพวราราม อันเป็นศาสนสถานที่ปรากฏองค์สุนทรีวาณีเป็นที่แรก
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระองค์มักจะปรากฏต่อผู้บูชาที่ต้องการเข้าให้ถึงความรู้แจ้งและทรงใช้ปาฏิหาริย์เหล่านั้นก็เพื่อนำผู้นั้นไปสู่ปัญญา ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระสุนทรีวาณีเป็นเทวีผู้บันดาลปรีชาญาณหรือความรู้แจ้งทั้งหมด ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคนที่ศึกษาในพระธรรมหรือแม้กระทั่งคนธรรมดาทั่วไปที่ทุกวันนี้ถูกพัดพาไปตามกระแสของโลกวัตถุ นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงประทานสติปัญญาให้เพื่อให้เราหลุดพ้นหรือเอาตัวรอดจากความเสื่อมทั้งหลายและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุขในสภาวการณ์นั้น ด้วยเหตุที่ว่าสิ่งที่จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้นั้นคือสติปัญญาและตัวสติปัญญานี้ยิ่งใช้ยิ่งจะมีแต่ความเพิ่มพูน โดยไม่มีใครสามารถเอาไปจากเราได้นอกจากนั้นยังมีคนกล่าวว่าพระสุนทรีวาณี ทรงเป็นเทวีองค์เดียวกับพระสรัสวดี คุรุเทพแห่งปราชญ์ทั้งมวลในศาสนาฮินดู
ประวัติความเป็นมาของพระสุนทรีวาณีทรงเป็นเทวีที่เกิดขึ้นในวัดสุทัศนเทพวราราม โดยมีความสัมพันธ์กับคาถาบทหนึ่งในคัมภีร์สัททาวิเสส ซึ่งถือกันว่าเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ พระเถระเจ้าในอดีตมักสั่งสอนบรรดาสานุศิษย์ให้บริกรรมคาถานี้ก่อนที่จะเริ่มเรียนพระปริยัติและก่อนเข้าที่ภาวนาทุกครั้ง เนื้อคาถามีดังนี้
มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี
ปานีนัง สะระณัง วาณี มัยหังปิณะยะตัง มะนังฯ
กล่าวกันว่าผู้ใดได้เจริญภาวนาด้วยพระคาถานี้ให้มากมั่นแล้ว จะเกิดอานิสงส์ทางสติปัญญา ความทรงจำและนำความคิดให้พ้นจากความขัดข้องหลงลืมได้
พระสุนทรีวาณี นั้นเป็นพระปางพิเศษ เป็นรูปเทพธิดาทรงอาภรณ์อันงดงามวิจิตร พระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก อันหมายถึงการเรียกเข้ามาหา นัยน์ว่าเป็นการเรียกสิ่งดีๆต่างๆเข้ามาหาผู้บูชา พระหัตถ์ซ้ายหงายอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) มีดวงแก้ววิเชียร (เพชร) อยู่ในพระหัตถ์ พระสุนทรีวาณีเป็นพระซึ่งเกิดจากนิมิตแห่งคาถาสุนทรีวาณี ซึ่งเป็นคาถาที่ปรากฏในคัมภีร์สัททาวิเสส มี ๓๒ คำ พระคาถานี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ใดเมื่อเรียนพระไตรปิฎก เรียนพระธรรม เรียนวิชา ภาวนาแล้วสามารถดับอวิชชา บังเกิดปัญญางาม ปัญญากลายเป็นสัญญา(สัญญา — ความจำได้หมายรู้) คือความทรงจำอันเลิศล้ำ โบราณาจารย์ได้สั่งสอนศิษยานุศิษย์ให้ท่องทุกครั้งก่อนที่จะเรียนพระไตรปิฎกตลอดมา
ต่อมาสืบความได้ว่า ผู้ที่ท่องคาถานี้เฉพาะในยุครัตนโกสินทร์ ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช๓ พระองค์ เป็นพระสมเด็จพระราชาคณะและเป็นพระคณาจารย์ผู้มากด้วยเมตตาอีกเป็นจำนวนมาก สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฺฑฒโน) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ ๓ ของวัดสุทัศน์ฯ ได้ภาวนาโดยใช้คาถานี้จนเกิดเป็นนิมิต จึงให้จิตรกรหลวงเขียนภาพนิมิตนั้นแล้วตั้งบูชาที่หัวนอน
ครั้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จประพาสยุโรป สมเด็จพระวันรัต (แดง) ได้ถวายคาถานี้ให้จำเริญ ครั้งเมื่อเสด็จกลับมาจึงได้ตรัสว่าคาถานี้ศักดิ์สิทธิ์นักและได้ทรงขอยืมรูปพระสุนทรีวาณีไปบูชา เป็นเวลา ๕ ปี
จนเมื่อสมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธ ก่อนมรณภาพ จึงขอพระราชทานกลับมาคืนวัด ผู้ที่บูชาพระสุนทรีวาณีจะเกิดความผ่องใส เกิดโชคลาภ และประสบความสำเร็จต่างๆ
พระคาถานี้เมื่อได้บริกรรมจึงพบความอัศจรรย์ว่า
” ผู้ใดปัญญาดี จะสามารถเรียนวิชาทุกประการและจำได้แม่นยำ ผู้ใดปัญญาไม่ดีนักบริกรรมแล้วจะเป็นวาสนามหานิยม”
พระคาถาสุนทรีวาณีมีชื่อเรียกหลายอย่างเช่น พระคาถาอาราธนาธรรม, พระคาถาเรียกธรรมพระคาถาบารมี ๑๐ ทัศน์, พระคาถาหัวใจอาการวัตตาสูตรหรือ คาถาหัวใจอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นคาถาประจำพระองค์ ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ที่ทรงสอนให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ให้ภาวนาก่อนที่จะนั่งเข้าที่ภาวนา หรือก่อนเรียนพระปริยัติทุกคราวไป เพื่อกันบาปธรรม หรือ มารในใจ